ฤดูหนาวในอาโอโมริ และอุณหภูมิอุ่นๆ ของการออกเดินทางด้วยกัน

ทริปการเดินทางของ “ชายหนุ่มและหญิงสาวผู้ที่กำลังเรียนวิชาเดินทางด้วยกัน 101” ห่างหายไปพักใหญ่ๆ คราวนี้เรากลับมา พร้อมทริปการเดินทางอีกหนึ่งทริปในฤดูหนาวที่ภูมิภาคโทโฮคุ เป็นทริปที่ภูเขาฮักโกดะ จังหวัดอาโอโมริค่ะ

หากย้อนเวลาทริปนี้ไปหนึ่งวัน จริงๆ แล้วการเดินทางผจญภัยในภูมิภาคโทโฮคุของเรา จะขึ้นไปสัมผัสประสบการณ์ Snow Monster  หรือปีศาจหิมะ ส่วนในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่าจุเฮียว (Juhyo) ที่ภูเขาซาโอะ จังหวัดยามากาตะกันค่ะ สำหรับภูเขาซาโอะแห่งนี้ เป็นเทือกเขาที่ทอดตัวระหว่างจังหวัดมิยางิ และจังหวัดยามากาตะ ในภูมิภาคโทโฮคุ ช่วงฤดูหนาวของทุกปีที่นี่จะมีหิมะปกคลุมไปทั่วพื้นที่ จนเป็นสีขาวโพลน และเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในการมาชมปีศาจหิมะของคนญี่ปุ่นและนักท่อง เที่ยวจากทุกสารทิศ อีกทั้งยังสามารถทำกิจกรรมช่วงฤดูหนาว อาทิ การเล่นสกี   สโนว์บอร์ด และเดินป่าชมธรรมชาติได้ นอกจากนี้ยังมีทัวร์สำหรับพาชมปีศาจหิมะส่วนเวลากลางคืนยังมีการเปิดไฟไลท์อัพเพิ่มความสวยงามอีกด้วย

สำหรับปีศาจหิมะนี้ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติในช่วงฤดูหนาว เหล่าก้อนน้ำแข็งจะพัดมาเกาะติดกับต้นไม้จนมีรูปร่างคล้ายกับปีศาจ เมื่อมองในระยะไกลจะเหมือนเป็นภาพงานศิลปะที่ธรรมชาติเป็นคนสร้างสรรค์ออกมา หลายคนจะประทับใจภาพเหล่าปีศาจหิมะตั้งแต่นั่งโรปเวย์ขึ้นไปบนยอดเขาแล้วค่ะเพราะเป็นภาพที่ตราตรึงใจเป็นอย่างยิ่ง

แต่เรื่องของเรื่องมันเริ่มขึ้นตอนที่เราไปยืนอยู่หน้า Yamagata Station เพื่อต่อรถบัสขึ้นภูเขา เจ้าหน้าที่ก็แปะป้ายบอกเราเป็นภาษาอังกฤษไว้ว่า “Zao ropeway is cancled today!” Very strong wind.

ตอนนั้นเราก็คุยกันถึงแผนการเดินทางที่จะต้องปรับเปลี่ยนกะทันหัน เพราะได้ไปกินซังออนเซ็นตามความตั้งใจที่อยากไปในจังหวัดยามากาตะแล้ว แม้จะไม่ได้ขึ้นภูเขาซาโอะก็ไม่เป็นไร ซึ่งนอกจากที่ภูเขาซาโอะ ก็ยังมีที่ภูเขาโมริโยชิ ในจังหวัดอาคิตะและที่ภูเขาฮักโกดะที่จังหวัดอาโอโมริ ที่สามารถชมปีศาจหิมะตามที่เราตั้งใจไว้ได้

งั้นเราเปลี่ยนไปทำความรู้จักกับเจ้าปีศาจหิมะที่จังหวัดอาโอโมริกันไหม? ไหนๆ เราก็ต้องไปปิดท้ายทริปฤดูหนาวในโทโฮคุ ที่จังหวัดอาโอโมริอยู่แล้วนี่

“You don’t always need a plan, just go.”
เพื่อนร่วมทางที่มักสนับสนุนการเที่ยวแบบไม่ต้องวางแผนอะไรเป๊ะๆ ก็ไม่ลังเลที่จะตอบว่า “ได้”

เราขึ้นรถไฟมาที่ตัวเมืองอาโอโมริเร็วกว่าที่ตั้งใจไว้ แล้วเข้าพักที่ Hotel Sunroute Aomori โรงแรมที่เดินจาก Aomori Station เพียง 5 นาทีเท่านั้น

เราว่าการเดินทางในชีวิตมันเต็มไปด้วยเรื่องบังเอิญ และไม่คาดคิดเสมอ เหมือนกับที่วันนั้นพอเรามาถึงที่โรงแรม ติดต่อเคาน์เตอร์เช็คอินเข้าที่พักเรียบร้อย คนหลงใหลโบรชัวร์ญี่ปุ่น 2 คน ก็มาสะดุดที่โบรชัวร์แผ่นหนึ่งที่วางไว้หน้าลิฟท์ ในนั้นมีข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษว่า “เที่ยวอาโอโมริ 1 วันแบบไปเช้าเย็นกลับด้วยรถบัส”

บางทีการทำอะไรนอกแผน ก็ไม่ได้แย่นะ แล้วมันก็ทำให้เรารู้สึกมีพลังในการเฝ้ารอสำหรับการเดินทางครั้งใหม่อย่างประหลาด
 
โหยยยย มันจะบังเอิญอะไรขนาดนี้นะ…
เราไม่ลังเลที่จะแจ้งเจ้าหน้าที่ของโรงแรมเพื่อให้เขาจองที่นั่งในรถบัสนำเที่ยวให้ สำหรับทริปวันรุ่งขึ้น และที่สำคัญคือรถบัสนำเที่ยวนี้จะมารับเราที่หน้าโรงแรมด้วยค่ะ เช้าตรู่วันต่อมา เราสองคนรีบตื่นแต่เช้า พกกระเป๋าใบเล็กไปยืนรอรถบัสอยู่ที่หน้าโรงแรม แล้วทริปตะลุยจุดท่องเที่ยวสำคัญๆ ในอาโอโมริก็เริ่มต้นขึ้น

แม้บนรถบัสในฤดูหนาวปีนั้นจะมีคนอยู่ภายในรถเพียง 2 คนก่อนหน้าเรา แต่รถบัสนำเที่ยวก็ยังพาเราออกเดินทางไป 3 สถานที่สำคัญโดยพนักงานในรถจะมาแนะนำเราว่ารถบัสคันนี้จะแวะที่ไหนบ้าง และจะมารับเราตามจุดที่กำหนดตอนกี่โมง ซึ่งเราก็คิดว่าโชคดีที่ตัดสินใจเลือกเดินทางด้วยวิธีนี้ เพราะช่วงฤดูหนาว การเดินทางไปยังจุดต่างๆ ในจังหวัดที่มีหิมะทับถมสูงก็ค่อนข้างลำบาก วันนั้นรถบัสพาเราไปเที่ยวยัง 3 จุดที่เราอยากไปพอดีคือ

1.ภูเขาฮักโกดะ
ช่วงเดือนมกราคมถึงราวๆ ต้นเดือนมีนาคมของทุกปี เป็นช่วงที่เหล่านักสกีทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นมุ่งตรงมาที่นี่ บ้างก็ว่าเป็นพาราไดซ์ของนักสกีเลยก็ว่าได้เพราะในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง จากบนภูเขาสามารถมองเห็นตัวเมืองอาโอโมริอยู่ไม่ไกล เพราะภูเขาแห่งนี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเลราวๆ 1,324 เมตร ในฤดูหนาวจะมีหิมะตกทับถมสูงและต่อเนื่องยาวนาน แถมยังละเอียดราวกับแป้งจะส่องแสงแวววาวระยิบระยับสวยงามมาก เป็นที่ชื่นชอบของเหล่านักสกีและผู้ที่ชื่นชอบการเล่นสโนว์บอร์ด นอกจากนั้นยังมีปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เรียกว่าปีศาจหิมะ หรือ Snow Monster ซึ่งเกิดจากการที่หิมะตกทับถมกันจนการเป็นความสวยงาม ภาพปีศาจหิมะขณะขึ้นโรปเวย์ในวันที่อากาศปลอดโปร่ง เป็นภาพที่สวยงามมากๆ แต่จะมีเงื่อนไขว่า ต้องเช็คสภาพอากาศก่อนเดินทางไปที่นี่ เนื่องจากโรปเวย์จะไม่เปิดทำการในวันที่มีลมแรง เพราะจะทำให้เกิดอันตรายได้ ส่วนเราสองคนเดินเล่นท่ามกลางท้องฟ้าขมุกขมัวอย่างมีความสุขค่ะ ถึงจะไม่ได้มายืนที่นี่ในวันที่ท้องฟ้าสดใส แต่กการได้มีประสบการณ์มาเยือนภูเขาฮักโกดะในช่วงฤดูนี้ก็เป็นประสบการณ์ครั้งนึงในชีวิตที่ลืมไม่ลงเหมือนกันแต่ยังไงก็ต้องขอบคุณเหล่าปีศาจหิมะที่ปรากฎตัวให้เราเห็นในทริปนี้ด้วย

วันนั้นเราถ่ายรูปจนกล้องแบตหมดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะโบกมือลาภูเขาฮักโกดะไปแบบน่าเสียดาย หากมีโอกาสคงได้กลับมาพบกันในวันที่อากาศปลอดโปร่งกว่านี้นะ

2. Sukayu Onsen  
จุดจอดรถบัส จุดต่อไปอยู่ที่สึกายุออนเซ็นค่ะ การได้ไปเยือนออนเซ็นที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น ก็เป็นความเซอร์ไพรส์ของเราสองคนในทริปนี้เช่นกัน ที่นี่เป็นทั้งโรงแรมที่มีบ่อน้ำพุร้อน และมีความเก่าแก่ราวๆ 300 ปี รายล้อมไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาฮักโกดะ โดยบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันมายาวนานเพราะมีสรรพคุณเสริมเรื่องการไหลเวียนโลหิต เพิ่มอุณหภูมิร่างกาย เพิ่มภูมิคุ้มกัน ช่วยโรคปวดข้อ โรคปวดเส้นประสาท และเหมาะสำหรับผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกายได้เป็นอย่างดี จุดเด่นสำคัญของที่นี่ยังเป็นออนเซ็นขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “ฮิบะเซ็นนินฟุโระ” สามารถแช่พร้อมกันได้ราวๆ 1,000 คน และมีความกว้างขนาดเสื่อทาทามิจำนวน 160 ผืนมาวางเรียงต่อกัน

เพื่อนร่วมทริปของเราขอตัวไปนั่งกินโซบะแป้งบักวีต และเมนูโชวกะมิโซะโอเด้งที่สืบทอดกันมาในเมืองอาโอโมริแถบนี้ ตั้งแต่ยุคโชวะโน่นแล้ว พร้อมกับดื่มชาอุ่นๆ รอที่ร้านอาหาร Onimen-an ส่วนเราเองอยากมีประสบการณ์การแช่ออนเซ็นรวมกับผู้คนที่นี่สักครั้ง ก็หาซื้อผ้าขนหนูแล้วก็พุ่งตัวไปที่ออนเซ็นทันที

สึกายุ ออนเซ็น เป็นออนเซ็นขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “ฮิบะเซ็นนินฟุโระ” สามารถแช่พร้อมกันได้ราวๆ 1,000 คน มีสรรพคุณเสริมเรื่องการไหลเวียนโลหิต เพิ่มอุณหภูมิร่างกาย เพิ่มภูมิคุ้มกัน ช่วยโรคปวดข้อ โรคปวดเส้นประสาท และเหมาะสำหรับผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกาย โดยได้รับการยอมรับว่าเป็นออนเซ็นเก่าแก่กลางหุบเขาที่มีมาตั้งแต่ 300 ปีก่อน แถมยังรายล้อมด้วยสภาพแวดล้อมที่ยอดเยี่ยมในทุกฤดูกาล

สึกายุ ออนเซ็นในวันนั้นกลิ่นกำมะถันลอยมาเตะจมูกแต่ไกล และทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปพร้อมร่างเปลือยเปล่ากับผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ก็ไม่ง่ายเลยสำหรับคนไทยอย่างเรา เพียงแต่วันนั้นอุณหภูมิภายในออนเซ็นแห่งนี้มันอบอุ่น แต่ข้างนอกหน้าต่างนั้นหิมะยังคงตกหนักอยู่ ไอหมอกทำให้เรามองไม่เห็นอะไรเลย – ฮา และด้วยความรวดเร็วดั่งความไวแสง เราก็พาตัวเองลงไปแช่ในออนเซ็นสีน้ำนมอย่างเร็วที่สุด… แช่แล้วอุ่นดีจัง ฮร้า

นับว่าเป็นประสบการณ์การแช่ออนเซ็นครั้งนึงในชีวิตที่ตื่นเต้นมากๆ แล้วก็จะได้สัมผัสกับความรู้สึกของการแช่ออนเซ็นบ่อรวมด้วย พอขึ้นมาก็เช็ดตัว ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยก็มานั่งกินโอเด้ง แกล้มชาอุ่นๆ มองหิมะที่ยังโปรยปรายด้านนอกอาคารอยู่ข้างๆ กัน ก่อนที่จะถึงเวลารถบัสมารับเรา

3.พิพิธภัณฑ์ศิลปะอาโอโมริ

พิพิธภัณฑ์ศิลปะอาโอโมริ (Aomori Museum of Art) เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย ตั้งนอกตัวเมืองอาโอโมริ ตัวพิพิธภัณฑ์ทาสีขาวทั้งหมด จุดเด่นภายในอาคารมีรูปปั้นสุนัข ที่มีชื่อว่า Aomori-ken ผลงานของคุณ โยชิโตโมะ นาราที่มีความสูงถึง 8.5 เมตรด้านในมีการจัดแสดงผลงานทั้งถาวรและแบบนิทรรศการชั่วคราวไว้ให้ชม

บ่ายแก่ๆ ของวันนั้นบรรยากาศโดยรวมรอบพิพิธภัณฑ์หนาวเหน็บและขาวโพลนมากๆ เป็นการมาพิพิธภัณฑ์ที่แปลกตา และได้ความรู้สึกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีที่ได้เดินชมงานศิลปะอยู่ข้างๆ กันเป็นผลงานศิลปะที่เราเคยเห็นผ่านรูปถ่ายมาตลอด แต่วันนี้พอได้เห็นกับตาตัวเอง ก็รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่และเมื่ออยู่ท่ามกลางฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลง ก็ทำให้ภาพที่เห็นมันสวยงามในแบบของมัน

วันนั้นรถบัสมารับเราที่หน้าพิพิธภัณฑ์ แล้วก็กลับไปส่งที่โรงแรมโดยสวัสดิภาพ เป็นการนั่งรถบัสแบบวันเดย์ทริปที่สะดวกสบายมากๆ ทั้งเรื่องประหยัดเวลาการเดินทางต่อรถ และแผนการเดินทางในแต่ละจุดที่ชัดเจน ทำให้เรามีโอกาสไปถึง 3 สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญได้ภายในหนึ่งวัน แม้ว่าจะเป็นวันที่หิมะตกทับถมสูงแบบนี้

สิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้ร่วมกัน จากการมาเที่ยวญี่ปุ่นในฤดูหนาว อาจจะมีเเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนอกเหนือจากแผนที่วางไว้ได้ รวมทั้งการเดินทางก็อาจจะมีอุปสรรคอยู่บ้าง เพียงแต่ต้องเช็คข้อมูลตลอด เราสองคนใช้วิธีการติดตามข่าวสารตามช่องทางที่เป็นทางการของสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ เพื่ออัพเดทสถานการณ์ปัจจุบัน จะได้รู้ทั้งเรื่องสภาพอากาศ อุณหภูมิขณะนั้น เวลาขึ้นลงของพรอาทิตย์ ซึ่งจะส่งผลต่อการวางแผนการเดินทาง เสื้อผ้า และอุปกรณ์กันหนาวของเราได้

เราเอ่ยถามความรู้สึกของเพื่อนร่วมห้องเรียน “วิชาเดินทางด้วยกัน 101” เกี่ยวกับทริปนี้อีกครั้ง
เขายังคงตอบหล่อๆ เหมือนเคย

“การเดินทางที่เหมือนจะมีแผน แต่ก็ไม่มีแผน มักจะเป็นข้อตกลงแรกๆ ของเราไปแล้ว และถ้าถามว่านี่เป็นครั้งแรก ของการทำความรู้จักหิมะรึเปล่า ก็ต้องตอบว่าเปล่า ประกอบกับนี่ก็ไม่ใช่การทำความรู้จักกับหิมะอย่างเป็นมิตรนัก เพราะต้องระบุไว้ในหมายเหตุด้วยว่า ทริปนี้คือการท่องเที่ยวท่ามกลางพายุหิมะชัดๆ !!

สำหรับเราเอง การท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นนั้น มีตารางเวลาการเดินรถแบบเป๊ะๆ มีสถานที่ มีพิกัด มีจุดประสงค์ หรือเป้าหมายปลายทางแบบตรงไปตรงมา โดยที่ไม่ต้องลุ้น คือถ้าไปตามแผน ก็เดินทางโดยสวัสดิภาพ มีตอนจบฟีลกู้ดไปแล้ว … ดังนั้น ถ้าคิดว่าการได้ออกนอกเส้นทางไปบ้าง คือการได้เรียนรู้อย่างหนึ่ง มันอาจจะมีอะไร หรือไม่มีอะไรเลยก็ได้ที่ปลายทางนั้น แต่มันก็ดีกว่าที่เราจะรู้ตอนจบมันไปซะทุกเรื่องใช่ไหมล่ะ ดังนั้น เราจึงได้ตัดสินใจ ฝ่าพายุหิมะตรงหน้าออกไปทำความรู้จักมันทั้งหิมะและสโนว์มอนสเตอร์แม้จะเป็นแบบ งง งง แต่ก็เชื่อว่าความทรงจำที่อยู่ในใจของทริปนี้ คือความสนุกที่ทรมานสุดๆ ไปเลยเชียว”


“ชายหนุ่มและหญิงสาวผู้ที่กำลังเรียนวิชาเดินทางด้วยกัน 101” เป็นความตั้งใจจะเขียนเรื่องราวการเดินทางในประเทศญี่ปุ่น ของชายหนุ่ม และหญิงสาวคู่หนึ่ง ที่กำลังเรียนรู้ชีวิตผ่านการออกเดินทางไปด้วยกัน หวังว่าเรื่องราวของเราจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคุณผู้อ่าน อยากออกไปผจญภัยและทำความรู้จักโลกใบนี้กับใครสักคน…เช่นกัน

อดีตบรรณาธิการผู้รับใช้ถ้อยคำมาตลอดหลายสิบปี ที่ยังคงมุ่งมั่นจะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนผ่านเพจชื่อ Japan Brochure ปรารถนาว่าจะได้สนุกไปกับกลุ่มคนที่ชอบโบรชัวร์สไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งส่วนหนึ่งมันได้พาเรามารู้จัก และออกเดินทางทำในสิ่งที่เราชอบไปด้วยกันไม่รู้จบ?